สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์ 17-23 พฤษภาคม 2564

 

ข้าว
 
1.สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
1.1 มาตรการสินค้าข้าว
1) แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2563/64 ประกอบด้วย 5 ช่วง ดังนี้
ช่วงที่ 1 การกำหนดอุปสงค์และอุปทานข้าว ได้กำหนดอุปสงค์ 28.786 ล้านตันข้าวเปลือกอุปทาน 30.865 ล้านตันข้าวเปลือก
ช่วงที่ 2 ช่วงการผลิตข้าว
2.1) การวางแผนการผลิตข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีการวางแผนการผลิตข้าว ปี 2563/64
รวม 69.409 ล้านไร่ คาดการณ์ผลผลิต 30.865 ล้านตันข้าวเปลือก จำแนกเป็น รอบที่ 1 พื้นที่ 59.884 ล้านไร่ คาดการณ์ผลผลิต 24.738 ล้านตันข้าวเปลือก และรอบที่ 2 พื้นที่ 9.525 ล้านไร่ คาดการณ์ผลผลิต 6.127 ล้านตันข้าวเปลือก โดยสามารถปรับสมดุลการผลิตได้ในการวางแผนรอบที่ 2 หากราคามีความอ่อนไหว ความต้องการใช้ข้าวลดลง และสถานการณ์น้ำน้อย รวมทั้งการปรับลดพื้นที่การปลูกข้าวไปปลูกพืชอื่น โดยจะมีการทบทวนโครงการ
ลดรอบการปลูกข้าวก่อนฤดูกาลเพาะปลูกข้าวรอบที่ 2
2.2) การจัดทำพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีการจัดทำพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว ปี 2563/64 รอบที่ 1 จำนวน 59.884 ล้านไร่ แยกเป็น 1) ข้าวหอมมะลิ 27.500 ล้านไร่ ผลผลิต 9.161 ล้านตันข้าวเปลือก 2) ข้าวหอมไทย 2.084 ล้านไร่ ผลผลิต 1.396 ล้านตันข้าวเปลือก 3) ข้าวเจ้า 13.488 ล้านไร่ ผลผลิต 8.192 ล้านตันข้าวเปลือก 4) ข้าวเหนียว 16.253 ล้านไร่ ผลผลิต 5.770 ล้านตันข้าวเปลือก และ 5) ข้าวตลาดเฉพาะ 0.559 ล้านไร่ ผลผลิต 0.219 ล้านตันข้าวเปลือก
2.3) การจัดการปัจจัยการผลิต ได้แก่ โครงการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ดี และควบคุมค่าเช่าที่นา
2.4) การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว ได้แก่โครงการส่งเสริมระบบนาแบบแปลงใหญ่โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ โครงการส่งเสริมการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิตพืช โครงการเพิ่มศักยภาพการผลิตข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้สู่มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวกข43 และข้าวเจ้าพื้นนุ่ม (กข79) และโครงการรักษาระดับปริมาณการผลิตและคุณภาพข้าว
2.5) การควบคุมปริมาณการผลิตข้าว ได้แก่ โครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย
2.6) การพัฒนาชาวนา ได้แก่ โครงการชาวนาปราดเปรื่อง
2.7) การวิจัยและพัฒนา ได้แก่ โครงการปรับปรุงและการรับรองพันธุ์ข้าวคุณภาพดีเพื่อการแข่งขัน และโครงการปรับปรุงและการรับรองพันธุ์ข้าวเจ้าพื้นนุ่มพันธุ์ใหม่
2.8) การประกันภัยพืชผล ได้แก่ โครงการประกันภัยข้าวนาปี
ช่วงที่ 3 ช่วงการเก็บเกี่ยวและหลังเก็บเกี่ยว ได้แก่ โครงการสินเชื่อเพื่อสร้างยุ้งฉางให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกร
ช่วงที่ 4 ช่วงการตลาดในประเทศ
4.1) การพัฒนาตลาดสินค้าข้าว ได้แก่ โครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ครบวงจร และโครงการรณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยทั้งตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ
4.2) การชะลอผลผลิตออกสู่ตลาด ได้แก่โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปีโครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกรโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อกและโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว
ช่วงที่ 5 ช่วงการตลาดต่างประเทศ
5.1) การจัดหาและเชื่อมโยงตลาดต่างประเทศ ได้แก่ การเจรจาขยายตลาดข้าวและกระชับความสัมพันธ์ทางการค้าในต่างประเทศ โครงการกระชับความสัมพันธ์ และรณรงค์สร้างการรับรู้ในศักยภาพข้าวไทยเพื่อขยายตลาดไทยในต่างประเทศ และโครงการ ลด/แก้ไขปัญหาอุปสรรคทางการค้าข้าวไทยและเสริมสร้างความเชื่อมั่น
5.2) ส่งเสริมภาพลักษณ์และประชาสัมพันธ์ข้าว ผลิตภัณฑ์ข้าวและนวัตกรรมข้าว ได้แก่ โครงการส่งเสริมและขยายตลาดข้าวไทยเชิงรุก โครงการผลักดันข้าวหอมมะลิไทยคุณภาพดีจากแหล่งผลิตสู่ตลาดโลก โครงการส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ข้าวไทยในงานแสดงสินค้านานาชาติ โครงการจัดประชุม Thailand Rice Convention 2021 และโครงการเสริมสร้างศักยภาพสินค้าเกษตรนวัตกรรมไทยเพื่อการต่อยอดเชิงพาณิชย์
5.3) ส่งเสริมพัฒนาการค้าสินค้ามาตรฐาน และปกป้องคุ้มครองเครื่องหมายการค้า/เครื่องหมายรับรองข้าวหอมมะลิไทย
5.4) ประชาสัมพันธ์รณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยในตลาดข้าวต่างประเทศ
2) มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2563 อนุมัติโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2563/64มาตรการคู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64 และโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64 และงบประมาณ ดังนี้
2.1) โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2563/64 รอบที่ 1 โดยกำหนดชนิดข้าว ราคา และปริมาณประกันรายได้ (ณ ราคาความชื้นไม่เกิน 15%) ดังนี้ (1) ข้าวเปลือกหอมมะลิ ราคาประกันตันละ 15,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 14 ตัน (2) ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ราคาประกันตันละ 14,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน (3) ข้าวเปลือกเจ้า ราคาประกันตันละ 10,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 30 ตัน (4) ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ราคาประกันตันละ 11,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 25 ตัน และ (5) ข้าวเปลือกเหนียว ราคาประกันตันละ 12,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน
2.2) มาตรการคู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64 ประกอบด้วย
3 มาตรการ ได้แก่
(1)โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2563/64 โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรในเขตพื้นที่ปลูกข้าวทั่วประเทศ เพื่อชะลอข้าวเปลือกไว้ในยุ้งฉางเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร จำนวน 1.82 ล้านตันข้าวเปลือก วงเงินสินเชื่อต่อตัน จำแนกเป็น ข้าวเปลือกหอมมะลิ ตันละ 11,000 บาทข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ตันละ 9,500 บาท ข้าวเปลือกเจ้า ตันละ 5,400 บาท ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ตันละ 7,300 บาท และข้าวเปลือกเหนียวตันละ 8,600 บาทรวมทั้งเกษตรกรที่เก็บข้าวเปลือกในยุ้งฉางตนเอง จะได้รับค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าวเปลือกในอัตราตันละ 1,500 บาท สำหรับสถาบันเกษตรกรที่รับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรที่
เข้าร่วมโครงการฯ ได้รับในอัตราตันละ 1,000 บาท และเกษตรกรผู้ขายข้าวเปลือก ได้รับในอัตราตันละ 500 บาท
(2) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกรปีการผลิต 2563/64โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อแก่สถาบันเกษตรกร ประกอบด้วย สหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และศูนย์ข้าวชุมชน เพื่อรวบรวมข้าวเปลือกจำหน่าย และ/หรือเพื่อการแปรรูป วงเงินสินเชื่อเป้าหมาย 15,000 ล้านบาท
คิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ร้อยละ 4 ต่อปี โดยสถาบันเกษตรกรรับภาระดอกเบี้ย ร้อยละ 1 ต่อปี รัฐบาลรับภาระชดเชยดอกเบี้ยให้สถาบันเกษตรกรร้อยละ 3 ต่อปี
(3)โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปีการผลิต 2563/64 ผู้ประกอบการค้าข้าวรับซื้อข้าวเปลือกเพื่อเก็บสต็อก เป้าหมาย 4 ล้านตันข้าวเปลือก โดยสามารถรับซื้อจากเกษตรกร
ได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2563 - 31 มีนาคม 2564 (ภาคใต้ 1 มกราคม - 30 มิถุนายน 2564) และเก็บสต็อกในรูปข้าวเปลือกและข้าวสาร ระยะเวลาการเก็บสต็อกอย่างน้อย 60 - 180 วัน (2 - 6 เดือน)นับแต่วันที่รับซื้อ โดยรัฐชดเชยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3
3)โครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64
ธ.ก.ส. ดำเนินการจ่ายเงินให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตร  เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ลดต้นทุนการผลิต ให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้น ในอัตราไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 20 ไร่ (ครัวเรือนละไม่เกิน 20,000 บาท) ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ขอดำเนินการจ่ายเงินเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าว
ปีการผลิต 2563/64 รอบที่ 1 กับกรมส่งเสริมการเกษตร ในอัตราไร่ละ 500 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 20 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 10,000 บาท ก่อนในเบื้องต้น
1.2 ราคา
1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ
ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 11,370 บาท ราคาลดลงจากตันละ 11,617 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.13
ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 8,626 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 8,927 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 3.36
2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 23,050 บาท ราคาลดลงจากตันละ 23,175 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.54
ข้าวขาว 5% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 13,670 บาท ราคาลดลงจากตันละ 13,800 บาท ในสัปดาห์ก่อน
ร้อยละ 0.94
3) ราคาส่งออกเอฟโอบี
ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 776 ดอลลาร์สหรัฐฯ (24,250 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 781 ดอลลาร์สหรัฐฯ (24,174 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.64 แต่เพิ่มขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 76 บาท
ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 486 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,188 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 496 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,352 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.02 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 164 บาท
ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 486 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,188 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 496 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,352 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.02 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 164 บาท
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 31.2506 บาท
2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
2.1 สถานการณ์ข้าวโลก
1) การผลิต
ผลผลิตข้าวโลก กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ ได้คาดการณ์ผลผลิตข้าวโลกปี 2564/65 ณ เดือนพฤษภาคม 2564ผลผลิต 505.446 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจาก 503.534 ล้านตันข้าวสาร ในปี 2563/64 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.38
2) การค้าข้าวโลก
บัญชีสมดุลข้าวโลก กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ ได้คาดการณ์บัญชีสมดุลข้าวโลกปี 2564/65 ณ เดือน
พฤษภาคม 2564 มีปริมาณผลผลิต 505.446 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจากปี 2563/64 ร้อยละ 0.38 การใช้ในประเทศ 513.348 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจากปี 2563/64 ร้อยละ 1.57 การส่งออก/นำเข้า 46.429 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจาก
ปี 2564/65 ร้อยละ 0.19 และสต็อกปลายปีคงเหลือ 168.018 ล้านตันข้าวสาร ลดลงจากปี 2563/64 ร้อยละ 4.49
โดยประเทศที่คาดว่าจะส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ ออสเตรเลีย เมียนมา กัมพูชา อียู ปารากวัย ไทย ตุรกี และอุรุกวัย ส่วนประเทศที่คาดว่าจะส่งออกลดลง ได้แก่ อาร์เจนตินา อินเดีย เวียดนาม และสหรัฐอเมริกา
สำหรับประเทศที่คาดว่าจะนำเข้าเพิ่มขึ้น ได้แก่ ไอเวอรี่โคสต์ เอธิโอเปีย อียู กินี อิหร่าน อิรัก เคนย่า
มาดากัสกา โมแซมบิค เนปาล ไนจีเรีย ฟิลิปปินส์ เซเนกัล สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา ส่วนประเทศที่คาดว่า
จะนำเข้าลดลง
ได้แก่ บราซิล จีน อินโดนีเซีย ซาอุดิอาระเบีย แอฟริกาใต้ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
ประเทศที่มีสต็อกคงเหลือปลายปีเพิ่มขึ้น ได้แก่ อินโดนีเซีย ปากีสถาน และไทย ส่วนประเทศที่คาดว่าจะมีสต็อกคงเหลือปลายปีลดลง ได้แก่ จีน อินเดีย ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ และสหรัฐอเมริกา
2.2 สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ

ฟิลิปปินส์
เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ประธานาธิบดี Rodrigo Duterte ได้ออกคำสั่งให้ปรับลดอัตราภาษีนำเข้าข้าว
(The Tariff for Imported Rice) เพื่อสร้างความมั่นใจว่า ฟิลิปปินส์จะมีความมั่นคงด้านอาหารและปกป้องผลประโยชน์ของผู้บริโภคในประเทศ
ทั้งนี้ จะมีการปรับลดภาษีนำเข้าข้าว (the Most Favored Nation; MFN) ลงเหลือร้อยละ 35 จากเดิมที่กำหนดไว้ที่ร้อยละ 40 สำหรับการนำเข้าข้าวในโควตา (Minimum Access Volume: MAV) จำนวน 350,000 ตัน และที่ร้อยละ 50 สำหรับการนำเข้าข้าวนอกโควตา โดยมีกำหนดเวลา 1 ปี สำหรับข้าวที่นำเข้าจากประเทศสมาชิกอาเซียนได้กำหนดอัตราภาษีนำเข้าร้อยละ 35
สำนักงานอุตสาหกรรมพืช (Bureau of Plant Industry; BPI) รายงานว่า ในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ (มกราคม-เมษายน 2564) ฟิลิปปินส์นำเข้าข้าวปริมาณ 780,068.53 ตัน เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 0.14 เมื่อเทียบกับ จำนวน 778,969.397 ตัน ในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา เนื่องจากผลผลิตข้าวในประเทศมีปริมาณเพิ่มขึ้น ประกอบกับราคาข้าว
ในตลาดโลกโดยเฉพาะราคาข้าวเวียดนามยังคงอยู่ระดับสูง
ทั้งนี้ ในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ ฟิลิปปินส์นำเข้าข้าวจากเวียดนามจำนวน 656,132.55 ตัน คิดเป็นร้อยละ 84
ของปริมาณนำเข้าข้าวทั้งหมด
สำหรับการขอเอกสารรับรองสุขอนามัยพืช (sanitary and phytosanitary import clearance; SPS-IC) ในช่วง 4 เดือนแรกมีจำนวน 1,416 ใบ (เพื่อขออนุญาตนำข้าข้าวประมาณ 1.629 ล้านตัน) ซึ่งเอกสาร SPS-IC ที่ออกในช่วง 4 เดือนแรกนี้ ลดลงประมาณร้อยละ 56 เมื่อเทียบกับจำนวน 3,236 ใบ (เพื่อขออนุญาตนำเข้าข้าวประมาณ 2.678 ล้านตัน) ในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ เฉพาะเดือนเมษายน 2564 ที่ผ่านมา มีการออกใบอนุญาต SPS-IC จำนวน 731 ใบ เพื่อขออนุญาตนำเข้าข้าวประมาณ 725,304.3 ตัน
ทางด้าน Federation of Free Farmers Inc. ระบุว่า ผู้ค้าข้าวอาจจะลดการนำเข้าข้าวลง เนื่องจากภาวะราคาข้าวในตลาดโลกที่สูงขึ้นทำให้ผู้ค้าข้าวมีกำไรลดลง ประกอบกับผู้ค้าข้าวยังกังวลเกี่ยวกับปริมาณผลผลิตข้าวในประเทศที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจจะส่งผลให้ราคาข้าวในประเทศอ่อนตัวลง
ที่มา : สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย และ Oryza.com
 
อิหร่าน
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงเตหะราน รายงานว่า จากราคาข้าวที่สูงขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อและ
การขาดแคลนเงินตราในการนำเข้าข้าวจากต่างประเทศที่ทำให้ปริมาณข้าวในตลาดผู้บริโภคของอิหร่านลดลง ส่งผลให้ปัจจุบันมีชาวอิหร่านเพียง 15 ล้านคน จากจำนวนประชากรทั้งสิ้น 84.9 ล้านคน มีกำลังเพียงพอในการจัดซื้อจัดหาข้าวสำหรับบริโภคในครัวเรือน
ข้อมูลล่าสุดจากสมาคมผู้นำเข้าข้าวอิหร่านระบุว่าการนำเข้าข้าวจากต่างประเทศของอิหร่านหลังไตรมาสที่ 2 ของ
ปี 2019 เป็นต้นมา มีปริมาณลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสาเหตุมาจากปัญหาการชำระเงิน การอ่อนตัวของค่าเงินเรียล และราคาข้าวนำเข้าที่สูงขึ้น โดยเฉพาะข้าวบาสมาติจากอินเดียและปากีสถานที่พบว่ามีราคาสูงขึ้นใกล้เคียงกับราคาข้าวอิหร่าน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ข้าวที่วางจำหน่ายในตลาดภายในประเทศมีปริมาณลดลง ส่งผลให้ราคาขายขยับตัวสูงขึ้น
 
จากการสำรวจตลาดข้าวในเดือนพฤษภาคม 2021 ของสื่อท้องถิ่นอิหร่านพบว่า ราคาข้าวสารต่อกิโลกรัมเพิ่มขึ้น
โดยเฉลี่ยประมาณร้อยละ 150 หรือ 2.5 เท่าของราคาที่จำหน่ายในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยข้าวอิหร่านที่เป็นผลผลิตภายในประเทศปัจจุบันจำหน่ายที่กิโลกรัมละ 420,000 เรียล (ประมาณ 60 บาท) และข้าวนำเข้าจากต่างประเทศกิโลกรัมละ 300,000 เรียล (ประมาณ 42 บาท)
จากสถิติของทางการอิหร่านพบว่า ในปี 2020 อิหร่านนำเข้าข้าวจากต่างประเทศทั้งสิ้นประมาณ 870,000 ตัน
คิดเป็นมูลค่าประมาณ 925 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งลดลงเกือบครึ่งหนึ่งของการนำเข้าในปี 2019 ปัญหาหลักของการนำเข้าลดลงคือการขาดแคลนเงินตราต่างประเทศที่อิหร่านได้รับจากการส่งออกน้ำมันและฝากไว้ในธนาคารต่างประเทศสำหรับ
ใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น เช่น ข้าว น้ำตาล และชา เป็นต้น โดยเฉพาะในธนาคารที่อินเดียซึ่งอิหร่านได้รับค่าสินค้าเป็นเงินสกุลรูปีและฝากไว้ในธนาคารอินเดีย 2 แห่งสำหรับหักบัญชีค่าใช้จ่ายในการนำเข้าข้าว
จากรายงานของหนังสือพิมพ์รอยเตอร์ฉบับเดือนมีนาคม 2021 พบว่า ผู้ส่งออกอินเดียจำนวนมากลังเลที่จะลงนามในสัญญาส่งออกข้าวมายังอิหร่านเนื่องจากเห็นว่าเงินฝากสกุลรูปีของอิหร่านในธนาคารอินเดียกำลังร่อยหรอลงและ
ไม่เพียงพอต่อการหักจ่ายค่าสินค้า อาจทำให้ประสบปัญหาการชำระเงินได้ซึ่งเป็นกรณีที่เกิดขึ้นบ่อยหลังอินเดียหยุดนำเข้าน้ำมันดิบจากอิหร่าน เริ่มจากเดือนพฤษภาคม 2019 เป็นต้นมา หลังสิ้นสุดระยะผ่อนปรนของสหรัฐฯ
ทั้งนี้ อินเดียเป็นแหล่งนำเข้าข้าวที่สำคัญอันดับหนึ่งของอิหร่าน คิดเป็น 3 ใน 4 ของการนำเข้าข้าวทั้งหมด โดยมีปริมาณการนำเข้าปีละประมาณ 6 8 แสนตัน (7 แสนตันในปี 2020) แต่จากสถิติการส่งออกข้าวของอินเดียมายังอิหร่านในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2021 นี้ พบว่า มีปริมาณและมูลค่าลดลงถึงร้อยละ 60 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2020
ซึ่งอินเดียส่งออกข้าวมาอิหร่านมูลค่าสูงถึง 202 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ทั้งนี้ ข้าวเป็นสินค้าอุปโภคที่มีนัยยะสำคัญต่ออิหร่านเป็นอันดับสองรองจากข้าวสาลี ดังนั้น การที่ข้าวขาดแคลนและมีราคาสูงขึ้น จึงทำให้ผู้บริโภคชาวอิหร่านจำเป็นต้องหันไปบริโภคข้าวสาลีเพิ่มมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันยังมีราคาถูก
เพราะรัฐบาลตรึงราคาและให้การอุดหนุนด้านการนำเข้า อย่างไรก็ตาม เพื่อทดแทนการนำเข้าข้าวจากอินเดียที่ประสบปัญหาการชาระเงิน รัฐบาลอิหร่านจึงเริ่มมองหาและเร่งเจรจานำเข้าข้าวจากแหล่งส่งออกอื่น เช่น เวเนซูเอล่า เวียดนาม และไทย เป็นต้น โดยจะเจรจาเงื่อนไขการนำเข้าแบบการค้าในระบบต่างตอบแทนเป็นหลัก
ในช่วงที่ผ่านมา ข้าวไทยเป็นหนึ่งในทางเลือกที่อิหร่านให้ความสำคัญมาโดยตลอด แต่เนื่องด้วยปัญหาด้านการ
ชำระเงินและการขนส่งที่เกิดจากมาตรการคว่ำบาตรอย่างเข้มข้นของสหรัฐฯ จึงทำให้การนำเข้าข้าวจากไทยลดลง
อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ข้าวที่อิหร่านนำเข้าจากไทยจะเป็นข้าวขาว 5% เกรดบีและข้าวหอมมะลิ โดยส่วนใหญ่นำเข้าเพื่อรักษาสมดุลทางอาหาร หรือ Food Security และจำหน่ายราคาถูกให้กับผู้บริโภคที่มีรายได้น้อยเป็นหลัก จากปรากฏการณ์
การขาดแคลนข้าวได้ส่งผลให้รัฐบาลอิหร่านจำเป็นต้องนำข้าวไทยเหล่านี้ออกมาวางจำหน่ายในห้างสรรพสินค้าของรัฐ
ทั่วประเทศ ถือเป็นครั้งแรกที่ผู้บริโภคตามเมืองใหญ่ เช่น กรุงเตหะราน สามารถหาซื้อข้าวไทยได้อย่างเสรี ซึ่งนับว่าเป็นโอกาสดีในการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ข้าวไทยให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายในกลุ่มผู้บริโภคที่เป็นคนเมือง
ที่มา : สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงเตหะราน

 


กราฟราคาที่เกษตรกรขายได้ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% และราคาขายส่งตลาด กทม. ข้าวสารเจ้า 5%

 


ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์

1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
ราคาข้าวโพดภายในประเทศในช่วงสัปดาห์นี้ มีดังนี้
ราคาข้าวโพดที่เกษตรกรขายได้ความชื้นไม่เกิน 14.5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 7.60 บาท
ลดลงจากกิโลกรัมละ 7.66 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.78 และราคาข้าวโพดที่เกษตรกรขายได้ความชื้นเกิน 14.5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 6.08 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 6.10 ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.33
ราคาข้าวโพดขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ ที่โรงงานอาหารสัตว์รับซื้อ สัปดาห์นี้เฉลี่ย
กิโลกรัมละ 9.38 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน และราคาขายส่งไซโลรับซื้อสัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ      8.98 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 8.95 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.34
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี. สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 304.00 ดอลลาร์สหรัฐ (9,470.41 บาท/ตัน)  
ลดลงจากตันละ 306.00 ดอลลาร์สหรัฐ (9,464.00 บาท/ตัน) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.65 แต่สูงขึ้นในรูปของ
เงินบาทตันละ 6.41 บาท
2. สรุปภาวะการผลิต การตาด และราคาในต่างประเทศ
กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ คาดคะเนความต้องการใช้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของโลก ปี 2564/65 มีปริมาณ 1,181.08 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจาก 1,149.41 ล้านตัน ในปี 2563/64 ร้อยละ 2.76 โดยบราซิล จีน สหรัฐอเมริกา เวียดนาม รัสเซีย แคนาดา สหภาพยุโรป ไนจีเรีย เม็กซิโก  ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินโดนีเซีย อินเดีย และแอฟริกาใต้ มีความต้องการใช้เพิ่มขึ้น สำหรับการค้าของโลกมี 196.24 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจาก 183.84 ล้านตัน ในปี 2563/64 ร้อยละ 6.74 โดยอาร์เจนตินา บราซิล สหภาพยุโรป รัสเซีย และยูเครน ส่งออกเพิ่มขึ้น ประกอบกับผู้นำเข้า เช่น อาร์เจนตินา บราซิล แคนนาดา ชิลี โคลอมเบีย อียิปต์ สหภาพยุโรป กัวเตมาลา อินโดนีเซีย อิหร่าน อิสราเอล ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เม็กซิโก โมร็อกโก เปรู ซาอุบิอาระเบีย และตุรกี มีการนำเข้าเพิ่มขึ้น
ราคาซื้อขายล่วงหน้าในตลาดชิคาโกเดือนกรกฎาคม 2564 ข้าวโพดเมล็ดเหลืองอเมริกัน ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 659.00 เซนต์ (8,189.28 บาท/ตัน) ลดลงจากบุชเชลละ 734.00 เซนต์ (9,066.43 บาท/ตัน) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 10.22 และลดลงในรูปของเงินบาทตันละ 877.15 บาท



 


มันสำปะหลัง

สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
การผลิต
ผลผลิตมันสำปะหลัง ปี 2564 (เริ่มออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนตุลาคม 2563 – กันยายน 2564) คาดว่ามีพื้นที่เก็บเกี่ยว 9.163 ล้านไร่ ผลผลิต 30.108 ล้านตัน ผลผลิตต่อไร่ 3.286 ตัน เมื่อเทียบกับปี 2563 ที่มีพื้นที่เก็บเกี่ยว 8.918 ล้านไร่ ผลผลิต 28.999 ล้านตัน และผลผลิตต่อไร่ 3.252 ตัน พบว่า พื้นที่เก็บเกี่ยว ผลผลิตและผลผลิตต่อไร่ เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.75 ร้อยละ 3.82 และร้อยละ 1.05 ตามลำดับ โดยเดือนพฤษภาคม 2564 คาดว่าจะมีผลผลิตออกสู่ตลาด 1.475 ล้านตัน (ร้อยละ 4.78 ของผลผลิตทั้งหมด)
ทั้งนี้ผลผลิตมันสำปะหลังปี 2564 จะออกสู่ตลาดมากในช่วงเดือนมกราคม – มีนาคม 2564 ปริมาณ 18.40 ล้านตัน (ร้อยละ 61.13 ของผลผลิตทั้งหมด)
การตลาด
ผลผลิตมันสำปะหลังออกสู่ตลาดลดลง โดยผลผลิตมีคุณภาพต่ำ เนื่องจากมีฝนตก ทั้งนี้หัวมันสำปะหลังส่วนใหญ่ไหลเข้าสู่โรงงานแป้งมันสำปะหลัง
ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศประจำสัปดาห์ สรุปได้ดังนี้
ราคาหัวมันสำปะหลังสด สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1.90 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 1.94 บาท ในสัปดาห์ก่อนคิดเป็นร้อยละ 2.06
ราคามันเส้นสัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 5.15 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 5.76 บาท ในสัปดาห์ก่อนคิดเป็นร้อยละ 10.59
ราคาขายส่งในประเทศ
ราคาขายส่งมันเส้น (ส่งมอบ ณ คลังสินค้าเขต จ.ชลบุรี และ จ.อยุธยา) สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ7.09 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาขายส่งแป้งมันสำปะหลังชั้นพิเศษ (ส่งมอบ ณ คลังสินค้าเขต กรุงเทพและปริมณฑล) สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 13.95 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี
ราคาส่งออกมันเส้น สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 260 ดอลลาร์สหรัฐฯ (8,100 บาทต่อตัน) ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน (8,048 บาทต่อตัน)
ราคาส่งออกแป้งมันสำปะหลัง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 483 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,047 บาทต่อตัน) ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน (14,950 บาทต่อตัน)

 


ปาล์มน้ำมัน

1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร คาดว่าปี 2564 ผลผลิตปาล์มน้ำมันเดือนพฤษภาคมจะมีประมาณ 1.989 ล้านตัน คิดเป็นน้ำมันปาล์มดิบ 0.358 ล้านตัน สูงขึ้นจากผลผลิตปาล์มทะลาย 1.902 ล้านตัน คิดเป็นน้ำมันปาล์มดิบ 0.342 ล้านตัน ของเดือนเมษายน คิดเป็นร้อยละ 4.57 และร้อยละ 4.68 ตามลำดับ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาผลปาล์มทะลาย สัปดาห์นี้เฉลี่ย กก.ละ 5.67 บาท สูงขึ้นจาก กก.ละ 4.68 บาทในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 21.15                                                             
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาน้ำมันปาล์มดิบ สัปดาห์นี้เฉลี่ย กก.ละ 37.65 บาท สูงขึ้นจาก กก.ละ 36.13 บาทในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 4.21  
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
สถานการณ์ในต่างประเทศ
ราคาน้ำมันปาล์มมีแนวโน้มสูงขึ้นหลังจากที่อุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันคาดการณ์ว่าผลผลิตของมาเลเซียจะลดลง มาเลเซียส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 17-19 จากเดือนเมษายน ราคาซื้อขายล่วงหน้า เดือนสิงหาคม สูงขึ้นร้อยละ 5.10 เข้าใกล้ราคาสูงสุด ที่ตันละ 4,457 ริงกิต เมื่อเดือนสิงหาคม 2563 อีกทั้งราคาน้ำมันปาล์มในปัจจุบันยังมีราคาสูงกว่าราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มอีกด้วย
ราคาในตลาดต่างประเทศ
ตลาดมาเลเซีย ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มดิบสัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 4,621.55 ดอลลาร์มาเลเซีย (35.62 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 4,826.99 ดอลลาร์มาเลเซีย (37.10 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 4.26           
ตลาดรอตเตอร์ดัม ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มดิบสัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,278.00 ดอลลาร์สหรัฐฯ (40.37 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 1,298.00 ดอลลาร์สหรัฐฯ (40.73 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 1.54
หมายเหตุ  :  ราคาในตลาดต่างประเทศเฉลี่ย 5 วัน

 


อ้อยและน้ำตาล
  1. สรุปภาวะการผลิต  การตลาดและราคาในประเทศ
           ไม่มีรายงาน
  1. สรุปภาวการณ์ผลิต การตลาดและราคาในต่างประเทศ
          Conab ลดการคาดการณ์ผลผลิตน้ำตาลของบราซิลในปี 2563/2564 จาก 41.8 ล้านตัน เหลือ 41.3 ล้านตัน สำหรับในปี 2564/2565 คาดว่าประเทศบราซิลจะเก็บเกี่ยวผลผลิตอ้อยได้ 628 ล้านตันผลิตน้ำตาล 38.9 ล้านตัน และเอทานอล 30.5 พันล้านลิตรจากอ้อยและข้าวโพด ส่วนในภาคกลาง-ใต้ของบราซิล คาดว่าจะหีบอ้อย 574.8 ล้านตัน ผลิตน้ำตาล 35.8 ล้านตัน และเอทานอล 28.36 พันล้านลิตร Conab ยังตั้งข้อสังเกตอีกว่า พื้นที่ปลูกอ้อยภาคกลาง-ใต้ของบราซิลลดลง 2.4% โดยเกษตรกรเปลี่ยนไปปลูกข้าวโพดและถั่วเหลืองแทน S&P Global Platts รายงานว่าราคาข้าวโพดที่สูงขึ้นกำลังกระตุ้น ให้ปศุสัตว์ในภาคใต้นำเข้าข้าวโพดมากขึ้นเนื่องจากมีราคาถูกกว่าการจัดหาและขนส่งในประเทศ



 

 
ถั่วเหลือง

1. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วเหลืองชนิดคละสัปดาห์นี้ กิโลกรัมละ 17.20 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 18.55 บาท
ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 7.28
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งถั่วเหลืองสกัดน้ำมันสัปดาห์นี้ กิโลกรัมละ 19.63 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ  
ราคาในตลาดต่างประเท (ตลาดชิคาโก)
ราคาซื้อขายล่วงหน้าเมล็ดถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 1,551.84 เซนต์ (18.01 บาท/กก.) ลดลงจากบุชเชลละ 1,626.60 เซนต์ (18.75 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 4.60
ราคาซื้อขายล่วงหน้ากากถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 405.78 ดอลลาร์สหรัฐฯ (12.82 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 438.36 ดอลลาร์สหรัฐฯ (13.76 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 7.43
ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันถั่วเหลืองสัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 67.07 เซนต์ (46.70 บาท/กก.) ลดลงจากปอนด์ละ 67.65 เซนต์ (46.79 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 0.86


 

 
ยางพารา
 
 

 
ถั่วเขียว

สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ถั่วเขียวผิวมันเมล็ดใหญ่คละ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 23.00 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวมันเมล็ดเล็กคละ และถั่วเขียวผิวดำคละ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ถั่วเขียวผิวมันเกรดเอ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 30.00 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวมันเกรดบี สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 28.00 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 35.00 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 22.00 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วนิ้วนางแดง สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 38.00 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี        
ถั่วเขียวผิวมันเกรดเอ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 996.67 ดอลลาร์สหรัฐ (31.03 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ1,001.50 ดอลลาร์สหรัฐ (31.02 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.48 แต่เพิ่มขึ้นในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.01 บาท
ถั่วเขียวผิวมันเกรดบี สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 932.00 ดอลลาร์สหรัฐ (29.01 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 936.00 ดอลลาร์สหรัฐ (29.00 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.43 แต่เพิ่มขึ้นในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.01 บาท
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,158.67 ดอลลาร์สหรัฐ (36.07 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 1,164.00 ดอลลาร์สหรัฐ (36.06 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.46 แต่เพิ่มขึ้นในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.01 บาท
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 738.00 ดอลลาร์สหรัฐ (22.97 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 741.50 ดอลลาร์สหรัฐ (22.97 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.47 แต่คงตัวในรูปเงินบาท
ถั่วนิ้วนางแดง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,249.33 ดอลลาร์สหรัฐ (38.89 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 1,254.75 ดอลลาร์สหรัฐ (38.87 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.43 แต่เพิ่มขึ้นในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.02 บาท


 

 
ถั่วลิสง

สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ความเคลื่อนไหวของราคาประจำสัปดาห์ มีดังนี้
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วลิสงทั้งเปลือกแห้ง สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 41.95 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 40.47 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 3.66
ราคาถั่วลิสงทั้งเปลือกสด สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 27.45 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 25.37 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 8.20 
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาถั่วลิสงกะเทาะเปลือกชนิดคัดพิเศษ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 57.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาถั่วลิสงกะเทาะเปลือกชนิดคัดธรรมดา สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 54.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน


 

 
ฝ้าย

    สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
          ราคาที่เกษตรกรขายได้
          ราคาฝ้ายรวมเมล็ดชนิดคละ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
    

          ราคาซื้อ-ขายล่วงหน้าตลาดนิวยอร์ก (New York Cotton Futures)
          
ราคาซื้อ-ขายล่วงหน้า เพื่อส่งมอบเดือนกรกฎาคม 2564 สัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 82.72 เซนต์(กิโลกรัมละ 57.60 บาท) ลดลงจากปอนด์ละ 86.37 เซนต์ (กิโลกรัมละ 59.76 บาท)  ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 4.23 (ลดลงในรูปของเงินบาทกิโลกรัมละ 2.16 บาท)

 

 
ไหม

ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 2,087 บาท สูงขึ้นจาก 1,811 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา คิดเป็นร้อยละ 15.24 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2,087 บาท ส่วนภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคใต้ไม่มีรายงาน
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1,648 บาท สูงขึ้นจาก 1,546 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา คิดเป็นร้อยละ 6.59 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 1,648 บาท ส่วนภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคใต้ไม่มีรายงาน  
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 3 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1,039 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 1,062 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา คิดเป็นร้อยละ 2.16 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 1,039 บาท ส่วนภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคใต้ไม่มีรายงาน


 

 
ปศุสัตว์

สุกร
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
  
ภาวะตลาดสุกรสัปดาห์นี้ ราคาสุกรมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้ลดลงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากผลผลิตเนื้อสุกรที่ออกสู่ตลาดมีมากกว่าความต้องการของผู้บริโภค แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัวหรือลดลงเล็กน้อย 
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
สุกรมีชีวิตพันธุ์ผสมน้ำหนัก 100 กิโลกรัมขึ้นไป ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ  76.26 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 76.48 คิดเป็นร้อยละ 0.29 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 73.14 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 74.25 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 77.29 บาท และภาคใต้ กิโลกรัมละ 79.15 บาท ส่วนราคาลูกสุกรตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้  ตัวละ 2,700 บาท ทรงตัวจากสัปดาห์ที่ผ่านมา 
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งสุกรมีชีวิต ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 75.70 บาท ลดลงจาก 77.00 คิดเป็นร้อยละ 1.68 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 

ไก่เนื้อ
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
 
สัปดาห์นี้ราคาไก่เนื้อมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้ทรงตัว เท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากผลผลิตที่ออกสู่ตลาดสอดรับกับความต้องการของผู้บริโภค แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัวหรือลดลงเล็กน้อย 
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไก่เนื้อที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ 34.54 บาท ทรงตัวจากสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่วนราคาลูกไก่เนื้อตามประกาศของบริษัท ซี.พี ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 10.50 บาท ทรงตัวจากสัปดาห์ที่ผ่านมา 
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไก่มีชีวิตหน้าโรงฆ่า จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 33.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา และราคาขายส่งไก่สดทั้งตัวรวมเครื่องใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 48.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา

ไข่ไก่
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
   
สถานการณ์ตลาดไข่ไก่สัปดาห์นี้ ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้สูงขึ้นจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากผู้บริโภคมีความต้องการผลผลิตไข่ไก่ที่ออกสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัวหรือสูงขึ้นเล็กน้อย
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ                                                                                                                 
ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 283 บาท สูงขึ้นจากร้อยฟองละ 278 บาท คิดเป็นร้อยละ 1.79 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 293 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 271 บาท  ภาคกลางร้อยฟองละ 285 บาท และภาคใต้ไม่มีรายงาน ส่วนราคาลูกไก่ไข่ตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 28.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา  
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่ไก่ (เฉลี่ยเบอร์ 0-4) ในตลาดกรุงเทพฯจากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 325 บาท สูงขึ้นจากร้อยฟองละ 320 บาท คิดเป็นร้อยละ 1.56 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 

ไข่เป็ด
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ

ราคาไข่เป็ดที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 340 บาท สูงขึ้นจากร้อยฟองละ 338 บาท คิดเป็นร้อยละ 0.59 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 349 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 350 บาท  ภาคกลางร้อยฟองละ 320 บาท และภาคใต้ร้อยฟองละ 350 บาท
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่เป็ดคละ ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 305 บาท ทรงตัวจากสัปดาห์ที่ผ่านมา 

โคเนื้อ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
   
ราคาโคพันธุ์ลูกผสม (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 98.79 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 98.08 บาท คิดเป็นร้อยละ 0.72 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 98.21 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 101.25 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 89.74 บาท และภาคใต้ กิโลกรัมละ 106.71 บาท

กระบือ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ

ราคากระบือ (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 80.35 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 78.19 บาท คิดเป็นร้อยละ 2.76 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 90.65 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 78.36 บาท  ภาคกลางและภาคใต้ไม่มีรายงานราคา
 
 

 
 

 
ประมง

สถานการณ์การผลิต การตลาดและราคาในประเทศ
1. การผลิต
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (ระหว่างวันที่ 17 - 23 พฤษภาคม 2564) ไม่มีรายงานปริมาณจากองค์การสะพานปลากรุงเทพฯ
 2. การตลาด
ความเคลื่อนไหวของราคาสัตว์น้ำที่สำคัญประจำสัปดาห์นี้มีดังนี้ คือ
2.1 ปลาดุกบิ๊กอุย (ขนาด 3 - 4 ตัว/กก.) ราคาที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 55.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
  สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
2.2 ปลาช่อน (ขนาดกลาง) ราคาที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 77.73 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 75.80 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 1.93 บาท
  สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
2.3 กุ้งกุลาดำ ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 60 ตัวต่อกิโลกรัมและราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาดกลาง (60 ตัว/กก.) ไม่มีรายงานราคา
2.4 กุ้งขาวแวนนาไม ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม เฉลี่ยกิโลกรัมละ 139.33 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 140.42 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 1.09 บาท
 สำหรับราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม เฉลี่ยกิโลกรัมละ 128.33 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 130.83 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 2.50 บาท
2.5 ปลาทู (ขนาดกลาง) ราคาปลาทูสดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 76.19 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 73.88 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 2.31 บาท
  สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
2.6 ปลาหมึกกระดอง (ขนาดกลาง) ราคาปลาหมึกกระดองสดที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
  สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
2.7 ปลาเป็ดและปลาป่น ราคาปลาเป็ดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 6.94 บาท ราคาลดลง จากกิโลกรัมละ 10.09 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 3.15 บาท
 สำหรับราคาขายส่งกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ปลาป่นชนิดโปรตีน 60% ขึ้นไป ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 34.00 บาท และปลาป่นชนิดโปรตีนต่ำกว่า 60% ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 29.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา